เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ มี.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ทุกคนปรารถนาความสุข เด็กมันก็อยากจะมีความสุขของมันตามประสาเด็ก เราผ่านเด็กมาก่อน เราก็เป็นเด็กมาก่อน เราก็มีความสุขประสาเราเด็กขึ้นมา แล้วเด็กมันก็คิด เห็นไหม คิดเหมือนพวกเราเลย เด็กทุกคนอยากเป็นผู้ใหญ่ อยากจะมีอิสระ เห็นผู้ใหญ่เขาทำอะไร เล่นตามประสาผู้ใหญ่ เล่นประกอบวิชาชีพ เล่นเป็นอย่างนั้น ถ้าเขาเล่นเป็นอย่างนั้นเขาเล่นได้ เขาปรารถนาของเรา แต่เราก็ผ่านชีวิตอย่างนั้นมา เห็นไหม

ปรารถนาอยากมีความสุขแต่หาความสุขไม่เจอ เราพยายามทำบุญทำทาน ทำบุญกุศลเหมือนกัน เรายึดสิ่งนี้เป็นความสุข เห็นไหม ผู้ที่มีศีล ผู้ทรงศีลทรงธรรม ผู้มีศีลมีธรรม เราปรารถนา เราให้ ทำบุญกุศลเพื่อปรารถนากับความสุขของเรา บุญเป็นสิ่งที่ใจต้องการที่สุด เรื่องความเป็นเรื่องของโลกนี้เป็นเรื่องของโลกเขา เรื่องของโลก เห็นไหม แต่เรื่องของโลกก็อาศัยบุญเหมือนกัน

บุญอย่างหยาบๆ การประสบความสำเร็จทางชีวิตนี้เพราะเราเคยทำมา ถ้าเราไม่ทำมา เห็นไหม โอกาสของคนเราไม่เหมือนกัน บางคนตั้งใจทำคุณงามความดีมากเลย ไม่ประสบความสำเร็จทางชีวิต บางคนทำบุญกุศลขึ้นมา ประกอบอะไรจะประสบความสำเร็จทางชีวิตตลอดไป นั่นเพราะเขาได้สร้างบุญกุศลมา นี่บุญกุศลอย่างหยาบ ปรารถนาความสุขกัน ความสุขอย่างนี้ได้สมความปรารถนาแล้วจะมีความสุข

พระพุทธเจ้าบอกเลย ใครมีอำนาจเท่าไร เข้าไปกอดกองไฟ เห็นไหม ผู้ที่บริหารประเทศ อยากบริหารประเทศ อยากมีอำนาจขึ้นไป จะอยู่ไม่เป็นสุข ในสมัยพุทธกาลมีกษัตริย์ออกมาบวช แล้วประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุดแล้วบอกว่า “สุขหนอ สุขหนอ” นี่เป็นกษัตริย์ปกครองบ้านเมืองขึ้นมา ไม่มีความสุขเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า “ทำไมพูดว่าสุขหนอ สุขหนอ”

พระได้ยินขึ้นมาบอกว่า “พระองค์นี้อวดอุตตริไง อวดว่าเป็นพระอรหันต์ สุขหนอ สุขหนอ” จนพระพุทธเจ้าเอามาถามว่า “เป็นอย่างไรทำไมเป็นความสุข”

บอก “มีความสุขจริงๆ มีความสุขเพราะว่าปัจจุบันนี้อยู่โคนไม้ แต่ใจประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุดแล้วมีความสุขมาก จะอยู่ที่ไหน อยู่โคนไม้ อยู่แบบทางโลกเขาไม่ชอบกัน แต่มีความสุข แต่เมื่อก่อนนั้นเป็นกษัตริย์ นอนอยู่ราชวัง มีมหาดเล็กเฝ้าอยู่ขนาดไหนก็กลัวเขาจะแย่งราชสมบัติ กลัวไปตลอดเวลา ไม่มีความสุขในชีวิตเลย มีแต่ความหวาดระแวงไปตลอด”

นั่นน่ะคืออำนาจ คิดว่ามีความสุขของโลกเขา โลกคิดแบบนั้นแล้วหาความสุขกันไม่เจอ เราถึงพยายามทำบุญกุศลขึ้นมาแล้วประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมเอาไว้แล้ว ธรรมเพื่อการดัดแปลงใจของตัว ถ้าใจถึงความสงบได้ เหมือนเด็กต้องการปรารถนาเป็นผู้ใหญ่ อยากจะเป็นอิสระ แล้วก็ต้องไปเผชิญกับชีวิต ก็มีความทุกข์ไปตลอด ว่าเมื่อไหร่จะมีความสุข ต่อไปเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ จนมีสมบัติมีพัสถานขึ้นมาจะมีความสุข มันก็ไม่มีความสุขเพราะอะไร เพราะพอเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ก็เป็นห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงทุกๆ คน ห่วงอยากให้เขาประสบความสำเร็จทางชีวิต ความห่วงของเรานี่ความติดพันไปไม่มีที่สิ้น ตัณหาความทะยานอยากไม่เคยสิ้นไม่เคยมีขอบเขตของมัน มันจะทะยานของมันตลอดไป

ตั้งแต่เด็กมันก็มีความปรารถนาของมัน เป็นผู้ใหญ่ว่า เมื่อนั้นจะมีความพอใจก็ไม่มีความพอใจ จนถึงผู้เฒ่าผู้แก่จะมีความพอใจก็ไม่มีความพอใจ จนมันตายไป เห็นไหม นี่กิเลสมันหลอก หลอกจนตายไปนะ

เราตายไปพร้อมกับชีวิตของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เกิดเป็นมนุษย์นี้ประเสริฐที่สุด แล้วเกิดในประเทศอันสมควร เกิดพบพุทธศาสนา ศาสนาสอนให้ดูเรื่องหัวใจ เรื่องสิ่งที่พาเกิด

เราเกิดขึ้นมาแล้วเราวิ่งไปตามกระแสของอำนาจของความคิดของตัณหาความทะยานอยาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ทุกข์ไหม?

“ทุกข์”

“ทุกข์ให้กำหนด แล้วไปละที่สมุทัย”

ตัณหาความทะยานอยากคือสมุทัย คือตัณหาความทะยานอยากของใจ ใจนี้ดิ้นรนไปตลอดเวลา แล้วมีตัณหาความทะยานอยากมันไม่มีวันที่สิ้นสุด เราถึงต้องได้ทำความสงบของใจ เห็นไหม ต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา

มีความปรารถนา ปรารถนาขนาดไหนก็ไม่สมความปรารถนา เพราะมันคิดไปตามความคิดของมัน ความสุขอันนี้ต้องมีศีลธรรม ศีลธรรมเข้าไปคิด ไปวัดใจของตัวเอง ใจคิดขนาดไหนมันคิดออกไป มันสมความปรารถนาไหม? ไม่สมความปรารถนาแล้วมันหยุดคิดได้ไหม? สิ่งนี้มันหยุดคิดได้ สิ่งที่มันจะหยุดคิดได้เพราะอะไร เพราะว่าเราตั้งสติพยายามระลึกรู้อยู่ ระลึกรู้เอาใจของตัวเอง เอาช้างสารที่ตกมัน ใจเวลาคิดนี่ไม่มีใครสามารถดึงมันไว้ได้เลย มันจะไปตามอำนาจของมัน ดึงช้างสารที่มันตกมันไว้ในอำนาจของตน

อำนาจของตน เห็นไหม ผู้ใดชนะตน ชนะที่ว่าชนะสงครามทั้งหมด เวลาสงครามธาตุสงครามขันธ์ เวลาเราเกิด เวลาเราโกรธ เวลาเราโมโหขึ้นมา อารมณ์มันรุนแรงขนาดไหน ทำไมเอาใจของเราไว้ไม่อยู่ แล้วความคิดก็เหมือนกัน เวลามันคิดฟุ้งซ่านออกไป เอามันไว้ไม่อยู่ เราถึงต้องตั้งสติเพื่อทำความสงบของใจ เพื่อให้ใจมันสงบขึ้นมา พอใจมันสงบขึ้นมา จะมีความสุขขึ้นมา คนหาความสุขนี่หาได้ที่ตรงนี้

ผู้ที่มีอำนาจวาสนาขนาดไหน สูงส่งขนาดไหนนะ เวลาเขาต้องการปรารถนา ดูอย่างนางวิสาขา จะมีสมบัติพัสถานมาก แต่เวลาเข้าไปหาพระพุทธเจ้า จะถอดเครื่องประดับเอาไว้ข้างนอกก่อนค่อยเข้าไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เครื่องประดับมันเป็นเครื่องบอกว่าเราต้องการสิ่งนั้นมาประดับตัวขึ้นมาเป็นภาระรุงรัง แต่การปลดออก เห็นไหม ปลดเครื่องประดับออก ปลดความคิดออกจากใจ ความคิดที่มันฟุ้งซ่านที่มันเอาความทุกข์มาให้หัวใจ จะปลดออกมันได้อย่างไร? ต้องใช้เราปลดออกของเราเอง ปลดออกด้วยสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะเกิดขึ้นมาจากไหน

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ลึกลับ เราจับต้องไม่ได้ ทุกคนจะงงมากนะว่าใจอยู่ที่ไหน ความสุขอยู่ที่ไหน ความสุขอยู่ที่ไหน จะหาความสุขกันหาไม่เจอ...จะหาความสุข จะหาเจอต้องหาที่ใจมันพอใจ มันพอใจ พอในที่ไหน? พอในเรื่องเราศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศรัทธาในศาสนา เราทำบุญกุศลเพื่อให้ใจมันมีความชุ่มชื่นของมันขึ้นมา

จากที่มันโหยหาอาลัยอาวรณ์ในหัวใจขึ้นมา มันทุกข์ยากของมันตลอดไป ให้มันชุ่มชื่นขึ้นมา แล้วมันจับต้องได้ ความจับต้องได้ เห็นไหม สิ่งที่ลึกที่สุด เราหาตัวใจไม่เจอ ว่าใจๆ ศาสนาสอนเรื่องใจ มันเป็นเรื่องการโกหกพกลม เป็นเรื่องการปัดความรับผิดชอบ สิ่งที่พิสูจน์ได้ไม่พูด พูดแต่สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ทุกคนพิสูจน์ไม่ได้ แต่สิ่งที่มีทุกคนมีอยู่ เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องศาสนา นี่มันลึกซึ้งขนาดนี้ สิ่งที่พิสูจน์ได้ พิสูจน์ได้ด้วยการประพฤติปฏิบัติ พิสูจน์ได้ด้วยการมีศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา พิสูจน์ได้ด้วยใจ ยับยั้งใจของตัวเองไว้ได้ ใจที่มันฟุ้งซ่านนี่ยับยั้งได้ จะมีความสุขพอสมควร ถ้าจิตสงบจะมีความสุขพอสมควรตามความปรารถนาความสุขของใจ นี่หาได้ที่นี่ ไม่ต้องใช้เงินไม่ต้องใช้ทอง ไม่ต้องใช้สิ่งต่างๆ เลย ใช้แต่ความตั้งใจของเราเองขึ้นมา ขุดค้นหาความสุขจากหัวใจขึ้นมา แล้วพยายามจะหาครูบาอาจารย์ชี้นำไง ชี้นำให้ยกขึ้นวิปัสสนาได้ ถ้ายกขึ้นวิปัสสนาได้ มันจะเห็นสภาวะความเป็นไป สมบัติอันนี้เทียบเคียงไม่ได้เลย

ในโลกจะไม่มีทางสมบัติอันนี้เทียบเคียงได้ เพราะสมบัติของโลกเขามันเป็นสิ่งที่ต้องพลัดพราก ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด สมบัติพัสถานก็พลัดพรากจากเราเป็นที่สุด สิ่งใดนี่มีเครื่องอยู่อาศัยทั้งหมด แต่สมบัติของใจที่ไปกับใจ เห็นไหม อามิส บุญกุศลที่เป็นอามิสนี่เกิดขึ้น เราตายไป เราทำบุญกุศลเกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นอินทร์ เกิดเป็นพรหม มันก็หมดแรงขับเคลื่อนของมัน แต่ปัญญาที่มันเกิดขึ้นจากการวิปัสสนาเห็นตามความเป็นจริง มันจะไปกับใจดวงนั้น

ถ้าใจดวงนั้นวิปัสสนาถึงการปล่อยวางชั้นหนึ่งเป็นพระโสดาบันจะเกิดอีก ๗ ชาติเท่านั้น แต่เกิดอีก ๗ ชาติมันจะสิ้นสุดไป นี่ความสุขหาได้ที่นี่ มีความสุขตั้งแต่มีความสงบของใจขึ้นมา มีความสุขตั้งแต่มีความมหัศจรรย์ มีความสุข เห็นไหม มันจะปล่อยวาง วิปัสสนานี่จะปล่อยวางขึ้นมา หาครูหาอาจารย์ยกชี้นำตนวิปัสสนาให้ได้ ถ้าวิปัสสนาได้มันจะปล่อยวางสิ่งต่างๆ เห็นไหม ปล่อยวางอะไร? ปล่อยวางในความยึดมั่นถือมั่นของมัน มันยึดมั่นถือมั่นคือมันยึดมั่นถือมั่นอะไร? ยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ความรู้สึก อารมณ์ความรู้สึกเป็นแขกจรมาของใจ ใจเกิดดับๆ มีอารมณ์ความรู้สึกคิดเกิดขึ้นตลอดเวลา แล้วจิตมันยึดมั่น เพราะมันไม่มีความเข้าใจ

ปัญญาในการแยกแยะสิ่งนี้ สิ่งที่เกิดดับมันก็เกิดดับตามธรรมชาติของมัน แต่เราไม่ยึดมั่น มันก็เก้อๆ เขินๆ เห็นไหม พระโสดาบันเห็นความเป็นจริงว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องแตกดับไปเป็นธรรมดา” สิ่งที่เป็นธรรมดานี่ไม่เกาะเกี่ยวกับมัน มันก็เกิดมีอยู่จนกว่าเราจะตายไป มันถึงได้ขาดออกไปจากใจ

สิ่งนี้เกิดมีอยู่ แต่เกิดมีอยู่แล้วเราไปยึด พอยึดเข้าก็ยึดอารมณ์ ยึดอารมณ์ก็ยึดความรู้สึก มันก็หมุนไปไม่สมความปรารถนาก็มีความต้องการความทะยานอยาก ความทะยานอยากมันก็ปรุงแต่งออกไป หมุนเวียนออกไปตลอดเวลา ปัญญาอย่างนี้แยกแยะขึ้นมา แยกแยะสิ่งที่เป็นความยึดมั่นถือมั่นของใจ มันปล่อยเข้ามาๆ จนถึงที่สุดมันจะขาดออกไปจากใจ สิ่งนี้ขาดออกไปเป็นอกุปปธรรม พระโสดาบันต้องเห็นสิ่งที่ว่าสภาวะขาดออกไปใจเป็นอกุปปธรรม คือมันเจริญแล้วไม่เสื่อมอีก

แต่ของเราที่เราทำอยู่ปัจจุบันนี้มันเจริญแล้วเสื่อม คุณงามความดีเจริญขึ้นมาแล้วเสื่อมขึ้นไปๆ มันเจริญชั่วครั้งชั่วคราว ต้องพยายามทำของเราขึ้นมา สร้างสมขึ้นมา หาครูหาอาจารย์ที่ชี้นำสิ่งที่ถูกต้องให้ได้ แล้วพยายามทำของเราขึ้นมาให้ได้ ทำของเราขึ้นมา ครูบาอาจารย์ก็เป็นผู้ชี้นำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้นำ ถ้าเราทำของเราขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากใจ นี่ความสุขหาได้ด้วยหัวใจของเรา

เราเกิดมานี่ใจพาเกิด ปฏิสนธิจิตเกิดจากไข่ของมารดาเข้าไปปฏิสนธิเกิดในครรภ์ของมารดา อยู่ในครรภ์ของมารดา ๙ เดือนแล้วคลอดออกมา ตัวจิตนี่ตัวปฏิสนธิ ตัวนี้สำคัญ ถ้าไม่มีตัวจิตปฏิสนธิ เห็นไหม บางครอบครัวก็ไม่มีลูกไม่มีเต้าเพราะอะไร เพราะว่าเขาเป็นหมันเป็นอะไรนั่นเรื่องของเขา

แต่จิตปฏิสนธิไม่ได้ ไม่มีปฏิสนธิจิตขึ้นมา เห็นไหม จิตนี้เป็นเรา อาศัยร่างกายนี่เป็นของพ่อแม่ขึ้นมา แล้วออกมาเกิดขึ้นมาแล้วสร้างคุณงามความดีเพื่อจะให้เข้าถึงใจดวงนี้ ถ้าใจดวงนี้วิปัสสนาพ้นออกไป นี่ความสุขหาได้ที่นี่ไง

ความสุขหาได้จากสิ่งต่างๆ เราแสวงหาไป เครื่องอยู่อาศัย ทำความรู้จักกับมันว่าเครื่องอยู่อาศัยอาศัยกันชั่วคราว ถ้าพอมีพอสมควรแล้ว อ้าว! ก็มีเท่านี้ เราทำตามหน้าที่ของเราไป งานคืองาน ถ้าเราทำงานของเราประสบความสำเร็จ มันก็เป็นงานของเรา เราก็พอใจ สิ่งนั้นไม่เป็นกิเลส แต่ถ้ากิเลสคือตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่ไม่สมความปรารถนาแล้วดิ้นรน อันนั้นเป็นกิเลส

นี่ละกิเลสละอย่างนี้ แล้วอยู่กับสิ่งนั้นโดยที่ว่าไม่เป็นโทษ เห็นเป็นประโยชน์กับเรา สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ส่วนหนึ่ง ประโยชน์ในโลกนี้ เราตายไป เราสละให้ใครนั่นเป็นเรื่องของเรา ถ้าเราไม่ตายไป เราทิ้งไปมันก็เป็นสมบัติของโลก โลกเขาต้องเจือจานกันไป

กฎหมายมีรับรองอยู่ทั้งหมด ถ้าไม่มีใครเป็นเจ้าของสมบัตินั้น สมบัตินั้นเป็นของหลวง ตกเป็นของรัฐบาล รัฐบาลเอาไปเป็นประโยชน์ เห็นไหม กฎหมายมีรองรับไว้ทั้งหมดเลย กฎหมายนี่คนคิด คนคิดขึ้นมาคิดจากความคิดเราขึ้นมา ความคิดเกิดขึ้นมาจากใจ คิดต่างๆ ก็คิดได้ แต่ไม่สามารถคิดหาความสุขในความเป็นจริงจากหัวใจของเรา ถึงต้องประพฤติปฏิบัติไง ต้องพยายามขุดค้น พยายามหาใจของเราให้เจอ ความสุขเกิดที่นี่

จากทาน ศีล ภาวนาแล้วหาความสุขเกิดขึ้นมาจากใจ แล้วจะถึงที่สุดของเราได้ ความสุขจริงๆ มาจากใจของเราเอง ศาสนาสอนอย่างนี้ ไม่ได้ปัดความรับผิดชอบหรอก เป็นการท้าทายด้วย ท้าทายให้พิสูจน์ไง

สิ่งต่างๆ แร่ธาตุต่างๆ อยากได้ต้องแสวงหา สิ่งนี้ธาตุรู้อยู่ที่ใจของตัวเอง ใครเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์แล้วมีทุกคน แล้วพิสูจน์ได้ทุกคน ทุกคนจะพิสูจน์ได้ เพียงแต่ไม่พิสูจน์แล้วไม่เข้าใจเรื่องการพิสูจน์ หรือพิสูจน์แล้วไม่สมความปรารถนา พิสูจน์แล้วไม่มีครูบาอาจารย์ชี้นำแล้วมันจะไม่สมความปรารถนา มันทำไม่ได้ มันก็เลยหลงทางกันไป

นี่มันถึงว่าเรามีอำนาจวาสนา เราทำคุณงามความดีของเราแล้วย้อนกลับมาหาสมบัติ ยอดสมบัติในตัวเราให้ได้ เอวัง